“คลัง” มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ปี 68 ยังโต 2.1%
“คลัง” มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ปี 68 ยังโต 2.1%

“คลัง” มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ปี 68 ยังโต 2.1% ถึงแม้ จะได้รับผลกระทบ จากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลง
ผลการ ประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ว่า ถึงแม้ เศรษฐกิจไทย จะได้รับผลกระทบ จาก นโยบายภาษีนำเข้า ของรัฐบาล สหรัฐอเมริกา แต่ กระทรวงการคลัง ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทย จะมีอัตราการเติบโต ชะลอตัวไม่มาก โดยยังคงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย จะเติบโตที่ 2.1% โดยมี ช่วงการคาดการณ์อยู่ที่ 1.6-2.6%

โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดว่า มูลค่าการส่งออกสินค้า ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ จะขยายตัวที่ 2.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 1.8% ถึง 2.8%) ซึ่งได้รับ ผลกระทบทางตรง จากนโยบายภาษีนำเข้า ของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การประกาศเลื่อน การบังคับใช้นโยบาย Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน นับจากวันที่ 9 เมษายน 2568 และ กรณียกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ เครื่องคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ ได้บรรเทาผลกระทบของ การส่งออกของไทย ลงบางส่วน

ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่า จะทรงตัวที่ 1.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 0.5% ถึง 1.5%) สอดคล้องกับความต้องการวัตถุดิบเพื่อการผลิตเพื่อส่งออก และ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป ยังคงมีความไม่แน่นอน และ มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อ ทิศทางของเศรษฐกิจไทย และ ประเทศคู่ค้าอย่างมีนัยสำคัญ

โดยจำเป็นต้องมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าของไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

“คลัง” มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ปี 68 ยังโต 2.1%

 

“คลัง” มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ปี 68

ได้แรงหนุน จากการลงทุน และ การท่องเที่ยว

 

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังได้รับแรงสนับสนุน จากการบริโภคภาคเอกชน ที่ยังขยายตัวดี โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7% ถึง 3.7%) ตามกำลังซื้อในประเทศ

และรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยคาดว่า จะมีนักท่องเที่ยว ชาวต่างประเทศ เดินทางเข้ามา ในประเทศไทยจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัวที่  2.7% ต่อปี

การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.4 % ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ -0.1% ถึง 0.9%)

สำหรับการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.7% ถึง 1.7%)

และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 2.8 %ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3% ถึง 3.3%) จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และ การลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปีงบประมาณ 2568 ต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2569

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการ คาดการณ์เศรษฐกิจไทยดังกล่าว ว่า เป็นการอ้างอิงตามกรณีฐาน (Base Case) เป็นสำคัญ โดยมีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีการผ่อนปรน ด้านนโยบายภาษี กับ ประเทศไทยและประเทศคู่ค้า

ทั้งนี้ ในกรณีสูง (High Case) โดยมีสมมติฐานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการปรับลดภาษีนำเข้าของไทย และประเทศอื่น ๆ ซึ่งลดลงอยู่ที่อัตรา 10% จะส่งผลบวกให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น จากกรณีฐานเป็น 2.5 % (อยู่ในช่วงประมาณ 2.0% ถึง 3.0%)

โดยแรงส่งหลักมาจาก การส่งออกที่ขยายตัวมากขึ้น และ การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามการลงทุนภาคเอกชน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม ความเชื่อมั่น ที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมี การประเมินอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยผ่านทั้งทางตรงและทางอ้อม

 โดยทางตรงคือการที่สินค้าส่งออกไทยเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ กระทบความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

 ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมเกิดจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง การลงทุนต่างประเทศในไทยอาจเพิ่มขึ้นบางส่วน แต่คาดว่าจะมีสินค้าไหลเข้าสู่ประเทศไทยแทนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้

1) ดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อแสวงหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย

2) เตรียมแหล่งเงินเพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดำเนินนโยบายการคลังให้มีขนาดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเปราะบาง อันเนื่องมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 3) เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปี 2568 เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ

4) ผลักดันความช่วยเหลือผู้ส่งออกผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)

และ 5) บูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการดูแลกลุ่มเปราะบางและกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้

อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่

1) นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศจีน

2) ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ

3) การไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น
4) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ

5) การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษี

6) ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย

และ 7) ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทยที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ที่มาของข้อมูล : https://mof.go.th

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/moody-economy-30042025/

[addtoany]
Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X