“คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20 ตุลาคม 68
“คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20

“คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20 ตุลาคม 68 กลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน ใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท คาดมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 88,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 อย่างน้อย 0.22%

เอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย ภายหลังการประชุม คณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ว่า คณะรัฐมนตรีมี มติเห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ)

ซึ่งสอดคล้องกับ นโยบายสำคัญ ของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อ รัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชน ในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย มากขึ้น

โดยคณะรัฐมนตรีเล็งเห็นว่า มาตรการดังกล่าว จะเพิ่มกำลังซื้อเข้าสู่ตลาดในช่วง ไตรมาสสุดท้ายของปี เพื่อกระตุ้นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยใช้วงเงินงบประมาณไม่เกิน 44,000 ล้านบาท คาดจะสร้าง เม็ดเงินหมุนเวียน ไม่น้อยกว่า 88,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะมีส่วนในการกระตุ้น อัตรการเติบโตของเศรษฐกิจได้ 0.22%

มาตรการดังกล่าวจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ซึ่งโครงการจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568

 “คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20

“คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20 ตุลาคม 68

เอกนิติ กล่าวว่า โครงการจะเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 หรือระยะเวลา
ตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนด

และเปิดรับลงทะเบียนประชาชนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.)

ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ สามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 – 23.00 น.) โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และ บริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ

สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568
(เวลา 06.00 – 21.00 น.)

 “คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20

“คนละครึ่ง พลัส” เปิด ลงทะเบียน 20 ตุลาคม 68

กลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน

โครงการนี้ มีกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 20 ล้านคน ประกอบด้วย

1 ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91)

หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568

2 ประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายทั้ง 2 กลุ่ม ต้องมีคุณสมบัติ

  1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย
  2. มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  3. มีบัตรประจำตัวประชาชน
  4. ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568
  5. ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5

ผู้เสียภาษี ได้สิทธิ 2,400 บาท

เอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการใช้จ่ายตามสิทธิของ “คนละครึ่ง พลัส” ภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบ ริการที่กำหนด ให้แก่ ประชาชน กลุ่มเป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตรา 50% ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด

โดยประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 หรือ ภ.ง.ด. 95 ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิ
ไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน

และประชาชนทั่วไป จะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่าย
ของโครงการฯ

ซึ่งประชาชนกลุ่มเป้าหมาย สามารถใช้สิทธิ ในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ

หรือ ซื้ออาหาร หรือ เครื่องดื่มจากร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงิน ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่ง กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลาง จะดำเนินการโอนเงิน ในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่าย ให้แก่ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่ กำหนดต่อไป

กระตุ้นให้ประชาชน เข้าสู่ระบบภาษี

“การที่โครงการ กำหนดวงเงินสิทธิของ ผู้ที่ยื่นแบบภาษี มากกว่า ประชาชนทั่วไป เพื่อเป็น การสนับสนุน และ สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น

ประกอบกับการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป ภาครัฐ อาจมี การกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) หรือความรู้ทางด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ผ่านแพลตฟอร์ม หรือ ช่องทางที่กำหนด

เพื่อให้สร้างทักษะในด้านต่าง ๆ เช่น การประยุกต์ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในการบริหารจัดการต้นทุนของร้านค้า เป็นต้น ซึ่งร้านค้าที่พัฒนาสำเร็จอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับการเข้าร่วมโครงการฯ ในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง กล่าว

ในขณะเดียวกัน  คณะรัฐมนตรี ยังได้มีมติเห็นชอบ ในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับสิทธิตามโครงการฯ ที่ประชาชนได้รับ

และ สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ขอเรียนยืนยันว่า ข้อมูลโครงการฯ ไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบ กับกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด

โดยผู้ประกอบการไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการฯ หรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด หรือ มีรายได้ ย่อมต้องมี หน้าที่

ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แล้วแต่กรณี และหากคำนวณภาษีแล้วมีเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ผู้ประกอบการก็จะไม่มีภาระภาษีที่จะต้องชำระแต่อย่างใด เอกนิติ กล่าว

ที่มาของข้อมูล : www.คนละครึ่งพลัส.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/primminiter-32-05092025/

[addtoany]
Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X