
KKP แนะ รัฐ – เอกชน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รับมือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ระบุ สหรัฐเก็บ ภาษี 19% เป็นข่าวดีระยะสั้น แต่ระยะยาวโลกการค้าเสรีกำลังหมดอายุ
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย ครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลง และยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ แม้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี จากปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่นโยบายภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้
ในขณะที่ ภาคการท่องเที่ยว มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากปัญหาด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในไทย หลังเดือนสิงหาคม สินค้าส่งออกจาก ไทย ไป สหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษี 19% ตาม มาตรการภาษีของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบ แนวโน้มการเติบโต ทางเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว และ อาจถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยได้
KKP แนะ รัฐ – เอกชน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ถึงเวลาทำเรื่องที่ต้องทำ
จากแนวโน้มดังกล่าว KKP Research ให้ความเห็นว่า แนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นประเทศไทยควรเน้นการลงทุน ที่เพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิต เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และ การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ ๆ
แม้การเปิดตลาดสินค้าบางกลุ่มและจัดการกับปัญหา Transshipment จะเป็นต้นทุนต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวระยะยาวของไทยเช่นกัน
มองในแง่ดี นี่อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวของ เศรษฐกิจไทย แม้ว่าเงื่อนไขในการเจรจาภาษีนำเข้า กำหนดให้ไทยต้องเปิดตลาดแบบจำกัด ให้กับสหรัฐฯ ในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
แต่ไทยไม่มีทางเลือกมากนักใน โลกการค้า และ การลงทุนยุคใหม่ การเปิดตลาดวัตถุดิบ อย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารลดลง
และเป็นโอกาสให้ ภาคเกษตรไทยมีการปรับตัว และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว ในขณะที่มาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ และส่งเสริมให้มีการปรับตัวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ การปรับเป้าหมาย การดึงดูด การลงทุนทางตรง จากต่างชาติที่เน้นคุณภาพมากขึ้น การลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ การพัฒนาเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่
แต่ไทยมีปัญหาทั้ง ดึงเม็ดเงินลงทุน ได้น้อยลง และ การดึงดูดการลงทุน ที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ หรือ เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีมากเท่าที่ควร
แม้ว่าเงื่อนไข เรื่องการเก็บภาษีสินค้าส่งออก ที่สวมสิทธิ์ (transshipment) อาจส่งผลลบ ต่อความน่าสนใจ ในการลงทุน จากต่างชาติในระยะสั้น
แต่เป็นโอกาสให้ไทย ปรับเป้าหมาย การดึงดูด การลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทาน ภายในประเทศ การสร้างมูลค่าเพิ่มกับเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายโอนเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว
KKP แนะ รัฐ – เอกชน หมดยุค การค้าเสรี
KKP Research ระบุว่า เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและอาจไม่กลับสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต
ในอดีตโลกอยู่ในยุคที่การค้าเติบโต และ อัตราภาษีเฉลี่ยปรับตัวลงเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการค้า สร้างต้นทุนให้กับ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสองประเด็นหลัก คือ
- การย้ายการลงทุนออกนอกสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานต่างประเทศราคาถูก จนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานบางส่วน
และ 2) การขาดดุลทางการค้าและการคลังที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา
การที่ สหรัฐฯ ประกาศใช้นโยบายภาษีการค้าตอบโต้ (reciprocal tariff) เพื่อปรับโครงสร้าง การขาดดุลทางการค้าและการคลัง
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องใช้สถานะของการเป็น ผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ ของโลก ในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขด้านต่าง ๆ
แม้สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น กับ หลายประเทศในอัตราประมาณ 10-35% แต่การเจรจาการค้าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง และ เงื่อนไขสำคัญที่ยังไม่ชัดเจน คือ เงื่อนไขของสินค้าส่งออก ที่จะถูกเข้าข่ายว่า เป็นการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม(transshipment) โดยเฉพาะจีน
ซึ่งจะโดนเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า (40%) เพื่อกดดันการขยายห่วงโซ่อุปทาน และ อิทธิพลของจีนในประเทศกำลังพัฒนา
ผลกระทบของภาระภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น จะแบ่งกัน ระหว่างทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้บริโภค การขึ้นภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายโดยราคา มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงแรก
แต่หากผู้บริโภคเลือกที่จะบริโภคลดลง จะทำให้ต้นทุนของ ภาษีนำเข้า ถูกแบ่งปันระหว่าง ผู้นำเข้า และ ผู้ส่งออก ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกทั่วโลกปรับลดลงเพื่อชดเชยกับอุปสงค์ที่หายไป
ภาษีนำเข้ากระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร ?
ผลลัพธ์การเจรจาภาษีที่ไทยได้รับ นับว่า เป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล เพราะ ไทยถูกเก็บภาษีใกล้เคียง กับ ประเทศในภูมิภาคในอัตราที่ 19% บนเงื่อนไข ที่ไม่ได้เปิดตลาดสินค้าทั้งหมด ให้กับสหรัฐฯ
ผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจไทย จะเกิดจากสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ ที่อาจจะลดลงจากราคาสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้น และ ผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศ จากการเปิดตลาดมากขึ้นให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ
KKP Research ประเมินว่าแม้ผลลัพธ์จะดีในภาพใหญ่ แต่การเจรจายังคงดำเนินต่อและมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีอีกอย่างน้อยสองช่องทางที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
- สหรัฐฯ สามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ทดแทนการนำเข้าสินค้าจากไทยได้ โดยสินค้าที่ส่งออกหลักของไทย สหรัฐฯ มีการนำเข้าจากหลายประเทศ หลายภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ ในขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 และอาจหาอุปทานทดแทนทั้งหมดได้ยากกว่ากลุ่มอื่น ๆ คือ ยางรถยนต์ ข้าว อาหารสัตว์
- ไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ยสูงกว่าประเทศอื่น เมื่อพิจารณาความเสี่ยงเรื่อง “Transshipment” แม้เงื่อนไขของการสวมสิทธิ์ (transshipment) ยังไม่ชัดเจน แต่หากสินค้าที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์ ก็อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% โดยมีข้อมูลสะท้อนว่า สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีถึง 40%
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สามารถประเมินผ่านเลขส่งออก แต่ขึ้นอยู่กับผลต่อความสามารถในการแข่งขันของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ข้อมูลในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนว่า การส่งออกของไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย แทบไม่ขยายตัวขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่า การส่งออกส่วนใหญ่ เป็นการส่งออกที่เป็นการนำเข้ามาจากประเทศอื่น ๆ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน และ แม้การส่งออกกลุ่มนี้ จะชะลอลงก็อาจจะ ไม่กระทบกับเศรษฐกิจไทยมากนัก
คาดส่งออกหดตัว ครึ่งปีหลัง 2568
KKP Research วิเคราะห์ว่า การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการผลิตในประเทศทั้งหมด โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) สินค้าปกติที่ถูกเก็บภาษี 19% และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง ส่งผลต่อการผลิตมากที่สุด เช่น กลุ่ม อาหาร ข้าว ยางพารา
(2) สินค้าที่นำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยไทยแทบไม่มีบทบาทการผลิต และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศอยู่ในระดับต่ำ เช่น แผง solar cell อุปกรณ์ network และ Wi-Fi router
(3) สินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำถึงปานกลางที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีนสูง และอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง Transshipmentต้องเสียภาษี 40% และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น จอมอนิเตอร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่อยู่ในบัญชีได้รับยกเว้นซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม
KKP Research คาดว่าผลกระทบทั้งปีต่อ GDP ไทยจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะอยู่ระหว่าง 0.3–0.9 pptหรือเฉลี่ยที่ 0.6 ppt และในกรณีที่หากสหรัฐฯ ยกเลิกรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจะทำให้ผลกระทบสูงขึ้นเป็น 0.7 – 1.1ppt และคาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงแรงหลังจากเร่งส่งออกก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้หลังเดือนสิงหาคม
ที่มาของข้อมูล : www.kkpfg.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/usa-thai-tax-01082024/
