
“ธุรกิจไทย” เดินหน้า ปรับโครงสร้าง สู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก (CO2) ให้มีค่าเป็นกลางในปี 2593 คาดใช้เงินลงทุนกว่าแสนล้านบาทในการบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
เวทีสัมมนา “The Future of Sustainability Growth” ที่จัดโดยสมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association : TMA) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ภาคธุรกิจเอกชนไทย เดินหน้าปรับโครงสร้างการผลิต เปลี่ยนการใช้พลังงานจากฟอสซิล ไปสู่พลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งปรับกระบวนการทำงานของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เข้าสู่ภาคธุรกิจสีเขียว
โดยมีเป้าหมายในการที่จะขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรให้มีรายได้อย่างยั่งยืน และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(CO2) ตามความตกลงการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประชุมการลดภาวะโลกร้อน ตามข้อตกลงที่ ปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส ปี พ.ศ 2559
โดยที่ประเทศไทยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลง 30-40% จากกรณีปกติ ในปี พ.ศ. 2573 และเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และ เป็น “ศูนย์” ในปี 2608 ในฐานะที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคี ในปี 2559
“ธุรกิจไทย” เดินหน้า ปรับโครงสร้าง สู่ เศรษฐกิจสีเขียว
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บางจาก และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวในเวทีสัมมนา “A Conversation on the Sustainable Future” ว่า กลุ่มบริษัทบางจาก ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนโดยการพัฒนาโครงสร้างการบริหารจัดการขององค์กรมาอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์กรในกรอบของ ESG (Environmental, Social, Governance)
“เราเริ่มต้นแผนการลดก๊าซเรือนกระจกมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการตรวจสอบกระบวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เพื่อใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณและออกแบบแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร จากนั้นวางแผนในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี
เราใช้งบลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท เพื่อปรับกระบวนการผลิตภายใน รวมไปถึงการลงทุนในพลังงานทางเลือก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีค่าสุทธิเป็นกลาง ในปี 2593” นายชัยวัฒน์ กล่าว
โดยแนวทางสำคัญในการปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของ บางจาก คือการปรับกระบวนการผลิต การใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เราพัฒนาประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
โดยมีการวางเป้าหมายในการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ตามเป้าหมายของประเทศ โดยจะทะยอยลง 10% 30% 40% 50% จนเป็นศูนย์ตามลำดับ
กระบวนการลดดังกล่าว ชัยวัฒน์ กล่าวว่าเรานำเทคโนโลยีมาใช้ รวมไปถึงการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในการลดก๊าซเรือนกระจก ไปด้วยกัน ซึ่งหัวใจสำคัญในการปรับลดให้ได้ตามเป้าหมายเริ่มต้นที่คนของเราให้คำนึงถึงความสำคัญของการลดก๊าซเรือนกระจก จากชีวิตประจำวัน ไปสู่กระบวนการทำงาน รวมไปถึงการลงทุนในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตไปพร้อมกัน
“สิ่งสำคัญคือเราต้องมองการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นเรื่องของการลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในอนาคต เหมือนการลงทุนในพลังงานทางเลือก เรามองว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมา
ซึ่งถือเป็นการลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เมื่อเราเปลี่ยนแนวคิดในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เป็นเรื่องของการลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนกลับมาในระยะยาว ก็จะทำให้การปรับกระบวนการผลิตไม่ใช่ภาระ แต่เป็นเรื่องของการสร้างอนาคตสู่การเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสีเขียว” ชัยวัฒน์ กล่าว
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวในเวทีสัมมนาเดียวกันว่า ธุรกิจของปูนซิเมนต์ไทย ทั้งการผลิตปูนซิเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมีคัล และ บรรจุภัณฑ์ เป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีการปรับตัวและพัฒนากระบวนการผลิตของเราให้เป็นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย

“สิ่งที่ปูนซิเมนต์ไทย กำลังทำอยู่คือ เราปรับกระบวนการผลิตเริ่มต้นจากการใช้พลังงานในการผลิตสินค้าของกลุ่มเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจากเป้าหมายในการลดลง 25% ไปจนเป็นกลาง และ เป็นศูนย์ ในที่สุด ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะมีแผนที่แต่ละส่วนงานทำร่วมกัน และรวมไปถึงการขับเคลื่อนร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ และ ห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) เพื่อให้กระบวนการลดก๊าซเรือนกระจก สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ” ธรรมศักดิ์ กล่าว
ธรรมศักดิ์ ขยายความการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจว่า บริษัทได้มีการพัฒนาสินค้าร่วมกันกับคู่ค้า อาทิ การพัฒนาโครงการ วัน แบง ค็อก บริษัทพัฒนาร่วมกับทาง กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ในการพัฒนา ปูนซีเมนต์แบบ Low Carbon มาใช้ในการก่อสร้างโครงการ รวมไปถึงวัสดุต่างๆ ที่มีกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
จากแนวโน้มดังกล่าว นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ต่อไปสินค้าของกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ใช้คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ต่ำ ทั้งในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ ปิโตรเคมีคัลล์ โดยในส่วนปิโตรเคมีคัลล์ เราให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาไบโอพลาสติก ที่สามารถใช้คาร์บอนต่ำกว่าพลาสติกทั่วไปถึง 1 เท่าตัว แม้ต้นทุนการผลิตจะสูงในช่วงเริ่มต้น แต่จะมีลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อที่จะทำให้เกิด Low Carbon Plastic ให้เพิ่มขึ้นจาก 10% ไปถึง 30% ในที่สุด โดย ไบโอพลาสติก สามาถรีไซเคิลได้ 90% การเปลี่ยนแปลงแหล่งพลังงาน และกระบวนการผลิต เป็นหัวใจสำคัญในการลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตของ กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกระบวนการสู่การเป็นองค์กรยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG
ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมว่า ต้องยอมรับว่าภาคอสังหาฯ เป็นภาคธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลก ดังนั้นแนวทางการพัฒนาอสังหาฯ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เราเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และ ร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้า เราใช้เวลา 2-3 ปีในการพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่ใช้คาร์บอนฯ ต่ำ ในการทำให้โครงการวัน แบงค็อก เป็นโครงการที่พัฒนาโดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยเรานำผงคอนกรีตมาใช้ในการสร้างอาคารอเนกประสงค์ เราสร้างอาคารคอนกรีตอย่างยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยี การออกแบบ และการก่อสร้างมาใช้

“ผมเชื่อว่า ธุรกิจอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ในระยะยาว ถ้าเราร่วมมือกันทำตั้งแต่ต้นน้ำในส่วนของวัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงแนวคิดในการออกแบบและการก่อสร้าง ไปจนถึงการใช้งานอาคาร” นายปณต กล่าว
“เศรษฐกิจยั่งยืน” เป็นเรื่องของการลงทุนไม่ใช่ต้นทุน
เฮเลน บัดลิเกอร์ อาทิดา(Mrs Helene Budliger Artieda) State Secretary for Economic Affairs SECO, Switzerland กล่าวว่า แนวคิดเรื่องความยั่งยืน และการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นเรื่องที่ต้องทำร่วมกัน ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยการที่จะขับเคลื่อนประเทศและองค์กรสู่การเป็นองค์กรยั่งยืน เป็นกระบวนการที่ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งภาครัฐและเอกชน
“กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือลดก๊าซเรือนกระจกได้ แต่เราต้องทำให้ภาคเอกชนและประชาชน เข้าใจและพร้อมที่จะมีส่วนในการลดก๊าซเรือนกระจก ไปพร้อมกัน” นางอาทิดา กล่าว
สำหรับประเทศไทย อาทิดา ให้ความเห็นว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และมีความร่วมมือกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการพัฒนาแนวทางการลดโลกร้อนภายในประเทศ อย่างเช่นความร่วมมือในการพัฒนา E-Bus ในประเทศไทยจำนวน 2,000 คัน ซึ่งช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์มีกองทุนที่สนับสนุนในเรื่องแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก ที่พร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทยและหลายๆ ประเทศ ทั่วโลก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับกระบวนการผลิตและการทำงานที่มีส่วนในการลดก๊าซเรือนกระจกในแต่ละประเทศ เพราะเรื่องของก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องทำงานร่วมกัน ประเทศใดประเทศหนึ่งทำโดยลำพังไม่ได้
ฮันส์-พอลล์ เบอร์เนอร์ (Mr Hans-Paul Burkner) Managing Director and Global Chair Emeritus Boston Consulting Group, Frankfurt กล่าวในเวทีสัมมนาเรื่อง The Economics of Sustainability ว่า ในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เราหมายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของการลงทุนที่จะสร้างอัตราการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
“เราต้องเปลี่ยนมุมมองว่า การลดก๊าซเรือนกระจก การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล ไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นเรื่องของการลงทุน ที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรให้มีรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน
เราไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนก้อนใหญ่เพื่อธุรกิจสีเขียว แต่เราสามารถเลือกทางเลือกที่เหมาะสมในกระบวนการทำงานและการผลิต เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจสีเขียว ทั้งการปรับกระบวนการผลิต การเลือกวัสดุ การปรับเปลี่ยนเรื่องของพลังงาน การใช้เทคโนโลยี ที่เหมาะสม และสร้างรายได้และกำไรที่เหมาะสม” เบอร์เนอร์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: https://bangkokx.me/acmecs-17082024/
ที่มาของข้อมูล: https://www.tma.or.th
