
เปิด 15 สินค้าไทย กระทบ จาก สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 37% ม. หอการค้าไทย คาดสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจไทย 3.7 แสนล้านบาท ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 68 เติบโตเหลือ 1%
หลังจากที่ ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอัตราการจัดเก็บภาษีศุลกากร สำหรับสินค้านำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกา ในอัตรา 20-49% เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568
โดยประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีศุลกากร สำหรับสินค้านำเข้าในประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่ 37% ซึ่งสูงกว่า อัตราการจัดเก็บ กับ สหภาพยุโรป 20 % จีน 34 % ญี่ปุ่น 24 % แอฟริกาใต้ 30 % ไต้หวัน 32 % อินเดีย 26 % อินโดนีเซีย 32 % มาเลเซีย 24 % ฟิลิปปินส์ 17 % สิงคโปร์ 10 % แต่ต่ำกว่า กัมพูชา 49 % ลาว 48 % เวียดนาม 46 % เมียนมา 44 % โดยจะมีผลในวันที่ 9 เมษายน 2568
เปิด 15 สินค้าไทย กระทบ จาก สหรัฐฯ ขึ้นภาษี

วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นับว่าเกินความคาดหมายสำหรับ ไทย โดยอัตราภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเอกสารตอนแถลงข่าวอยู่ที่ 36 % แต่ ในเอกสารประกอบ คำสั่งฝ่ายบริหารอยู่ที่ 37 %
แต่ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ยังมีเวลาที่ไทย จะเจรจาต่อรองได้ โดย ไทย พร้อมที่จะเจรจาทุกเมื่อ รอเพียงให้ สหรัฐฯ รับนัดมา หากเดินทางไปไม่ทัน ก็จะมีทีมไทยแลนด์ ที่เป็นเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นหัวหน้าคณะ
แต่หากมีเวลาเดินทางไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหัวหน้าคณะไปเจรจาเอง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ คาดการณ์ว่า ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้ไทย 11 % จะทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ 7,000-8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 1 ปี
แต่ขณะนี้ภาษีสูงถึง 37 % ก็อาจเสียหายมากกว่านี้ หากไทยไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเจรจาต่อรองแล้ว เป็นผลสำเร็จ ก็อาจไม่เกิดความเสียหาย หรือเสียหายลดลง
ส่วนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายขยายตัว 2-3 % หรือไม่ ต้องคำนวณอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า สินค้าไทย ที่จะได้รับ ผลกระทบมาก จะเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าสูง โดยสินค้า 15 อันดับแรกที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มาก ได้แก่
1.โทรศัพท์มือถือ
2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
3.ยางรถยนต์
4.เซมิคอนดักเตอร์
5.หม้อแปลงไฟฟ้า
6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์
7.ชิ้นส่วนรถยนต์
8.อัญมณี
9.เครื่องปรับอากาศ
10.กล้องถ่ายรูป
11.เครื่องปริ้นเตอร์
12.วัตถุดิบอาหารสัตว์
13.แผงวงจรอิเลกทรอนิกส์
14.ข้าว
และ 15.ตู้เย็น
เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น วุฒิไกร กล่าวว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ มีแนวทางในการเจรจากับ สหรัฐอเมริกา ดังต่อไปนี้
1.ไทยจะลดภาษีสินค้านำเข้าสินค้าบางรายการให้กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าอยู่แล้ว แต่นำเข้าจากแหล่งอื่น อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐฯ
2.เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ยังไม่เคยนำเข้าจากสหรัฐฯ 3.ลดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าของสหรัฐฯ
โดยมั่นใจว่า จะเจรจาต่องรองกับสหรัฐฯ ได้ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่การเจรจาด้านการค้าสินค้าเท่านั้น แต่จะทำทุกมิติ ทั้งการค้าบริการที่สหรัฐฯ ได้ดุลไทยจำนวนมาก การลงทุน การเป็นพันธมิตรที่ดี และหากให้คะแนนความสำเร็จ ถ้าได้เจรจากัน น่าจะได้ถึง 7-9 เต็ม 10 วุฒิไกร กล่าว
ส่วนการพิจารณามาตรการเยียวยา ผลกระทบให้กับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ทางกระทรวงพาณิชย์ จะมีการหารือกับ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร
เช่น อาจจะมีกองทุนเพื่อช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยจะกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย และมีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพราะตัวเลขพวกนี้ มีข้อมูล มีสถิติชัดเจนอยู่แล้ว
ม.หอการค้าชี้เศรษฐกิจพัง 3.57 แสนล้าน

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการภาษีตอบโต้ จะสร้างผลกระทบมากถึง 359,104 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 1.93 %
แต่หากรวมกับเหตุการแผ่นดินไหวด้วยแล้ว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจไทย 374,851.8 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีไทยปีนี้ลดลง 2.02 % ส่งผลให้จีดีพีไทยทั้งปีนี้อาจขยายตัวปรับลดลงเหลือ 1 % ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ที่ 3 %
โดยในส่วนของ ผลกระทบเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะสร้างความเสียหายราว 15,747.8 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีลดลง 0.08 %
สำหรับมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อ 4 กลุ่มสินค้า คือ เหล็ก, ผลิตภัณฑ์เหล็ก, อะลูมิเนียม, รถยนต์ อุปกรณ์-ส่วนประกอบ ซึ่งอัตราภาษีที่ประกาศใช้อยู่ที่ 25 %
ทั้ง 4 กลุ่ม ประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2568 รวมกันที่ราว 4,727 ล้านดอลลาร์ฯ แต่หากได้รับผลกระทบจากกรณีทรัมป์ 2.0 อาจจะทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงเหลือราว 4,077 ล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นมูลค่าของผลกระทบราว 650 ล้านดอลลาร์ (21,900 ล้านบาท)
ส่วนผลกระทบทางอ้อม อาจส่งผลให้การทะลักของสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าไทย จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น
เครื่องจักรกล, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าเบ็ดเตล็ด, อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เป็นต้น เนื่องจากจีนจำเป็นต้องหาตลาดส่งออกใหม่ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายนี้
สรท.มองกระทบส่งออกไตรมาส 2 จี้รัฐเร่งเจรจา

ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถประเมิน มูลค่าความเสียหาย จากการปรับขึ้นภาษี ของสหรัฐได้
แต่คาดว่าหลายอุตสาหกรรม ต้องได้รับผลกระทบ อย่างแน่นอน แต่จะมีหรือน้อย โดยขณะนี้ แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม กำลังประเมินตัวเลขผลกระทบ ซึ่งในเดือนพฤษภาคม จะมีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าจะสรุปผลได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม นี้
อย่างไรก็ตามรัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างการผลิต และทบทวนนโยบายกับประเทศคู่ค้าทั้งหมด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการในประเทศ
ส่วนการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ มีมูลค่า 26,707 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14% การนำเข้ามีมูลค่า 24,718.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4.0 % ส่งผลให้ไทย เกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์ ภาพรวม 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ไทยส่งออกรวมมูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.8 %
อย่างไรก็ตามเมื่อเจาะลึกไปดู ตัวเลขการส่งออก ที่ขยายตัวที่สูง กลับไม่สอดคล้อง กับดัชนีภาคการผลิตของไทยหรือ PMI ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน ดังนั้นจะต้องไปพิจารณาว่าเป็นการลงทุนใหม่เพื่อการผลิตส่งออกหรือไม่หรือมีการสวมสิทธิ์สินค้าไทยแล้วส่งออกหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนที่ เสมือนระเบิดเวลา ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ประกอบด้วย
1.Trade War Trump 2.0 ความไม่นอนของเศรษฐกิจโลกและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จากมาตรการภาษีศุลกากร ส่งผลให้ต้นทุนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น
- ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังไม่มีข้อยุติทั้ง รัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-กลุ่มฮามาส แม้มีข้อตกลงหยุดยิงแต่ยังคงมีการปะทะกันในหลายพื้นที่
3.ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวน เป็นผลมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยราคาทองคำ
4.ปัจจัยเฝ้าระวังขนส่งสินค้าทางทะเล ทั้ง ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ที่จะส่งผลต่อความผันผวน และมีผลต่อการวางแผนการสต็อกและส่งออกสินค้า
สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคทะเลแดง มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ค่าระวาง ดัชนีรวมปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยค่าระวางเส้นทางไปยังเอเชียปรับเพิ่มขึ้นในหลายเส้นทางซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้า
และ 4 ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการของสหรัฐฯ ต่อเรือขนส่งสินค้าที่ต่อในประเทศจีน (Chinese-Built vessel)
ทั้งนี้ สรท. มีข้อเสนอ 3 เร่งที่สำคัญ คือ
1.เร่งเจรจาสหรัฐ โดย ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
เร่งนำเข้าสินค้าที่ไทยต้องการจากสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้าและ ใช้แนวทาง ASEAN+ ในการเจรจา เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับสหรัฐ
2.เร่งเจรจาและใช้ประโยชน์ FTA กับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า และกระจายสินค้าไปในตลาดอื่นได้มากขึ้น ซึ่งภาครัฐ
โดยเฉพาะทูตพาณิชย์ ต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3.เร่งปฏิรูปการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย โดยสนับสนุนการลงทุน ใช้วัตถุดิบและทรัพยากรในประเทศไทย เป็นส่วนประกอบหลัก
การมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมต้นน้ำ และ ซัพพลายเออร์ภายในประเทศ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงภายในประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยมีการยกระดับ ธนากร กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/trade-war-05022025/
