
กูรูเศรษฐกิจ คาด เศรษฐกิจไทย ปี 68 มีสิทธิติดลบ หลัง สหรัฐฯ ยืนเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 36% มีผล 1 สิงหาคม 2568 แนะ รัฐบาลเร่งเจรจา แต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวม ของผู้ผลิตในประเทศ
สถิตย์ แถลงสัตยา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวถึง กรณีที่ไทยได้รับ ผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 36 % ซึ่งกระทบสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การแพทย์ และ อาหารแปรรูป
โดยคาดว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบใน 3 ระลอก คือ
1.กระทบต่อธุรกิจส่งออกโดยตรง ทำให้การผลิตลดน้อยลง สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลต่อการจ้างงาน รายได้ภาคครัวเรือน และ ภาพรวมของเศรษฐกิจ
- กระทบต่อ ห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ จากการที่ธุรกิจส่งออกถูกกระทบในระลอกแรก ความต้องการก็จะลดน้อยลง
- กระทบต่อการแข่งขันกับตลาดจีน โดยเฉพาะสินค้าของจีนที่จะทะลักเข้ามายังตลาดอาเซียนและไทยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการแข่งขันในตลาดที่ 3 กับ จีนและประเทศอื่นๆก็จะเข้มข้นขึ้นด้วย
กูรูเศรษฐกิจ คาด เศรษฐกิจไทย ปี 68 มีสิทธิติดลบ ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรก ปี 69
จากสถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารยูโอบี คาด GDP ต่อ ไตรมาสในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องถึง ไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตราที่ติดลบ ถ้าหากประเทศไทยยังคงถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36%
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยูโอบี ยังมองว่า ประเทศไทยยังมี ข้อได้เปรียบ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การวางตัวทางการเมืองในการที่ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน โดยแนะนำให้รัฐบาล หาช่องทางการเปิดตลาดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เช่น
โทรคมนาคม แม้ว่าอาจจะมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง แต่หากมองในด้านของเศรษฐกิจ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน ผู้บริโภคและธุรกิจจะมีมากกว่าบริการ
นอกจากนี้ยังมี ภาคการเงิน และ สินค้าภาคการเกษตรบางรายการ ให้เป็นข้อเสนอเพิ่มเติมกับทางสหรัฐฯ พิจารณา เพื่อช่วยให้สามารถเจรจาเพิ่มเติม และ ถูกเรียกเก็บภาษีอย่างน้อย ไม่สูงไปกว่าเวียดนาม หรือ อยู่ในระดับ 20%
รวมไปถึงการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน นอกเหนือจากการใช้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และ อำนวยความสะดวก ในการเดินทางเข้าสู่ไทย เพิ่มขึ้น
ส่วนในด้านนโยบายการเงิน มองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และ ประเมินว่า ธปท. น่าจะรอความชัดเจนจากมาตรการการเก็บภาษีในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ก่อน โดยคาดว่า ธปท.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยและลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ไปจนถึงไตรมาสแรก ปี 2569 ที่ 1 % ซึ่งหากสถานการณ์รุนแรงกว่าที่คาดไว้ ธปท.ก็อาจจะลดเหลือ 0.5%
กูรูเศรษฐกิจ คาด เศรษฐกิจไทย ปี 68
แนะภาคธุรกิจ ใช้กลยุทธ์ Wait and see จากความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจในขณะนี้ ด้วยปัจจัยความไม่แน่นอนหลายด้าน ส่วนใหญ่จะใช้กลยุทธ์ Wait and see คือ รอดูสถานการณ์และความชัดเจนต่อไป
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วไทย จะได้ภาษีที่ระดับสูงกว่าเ วียดนาม เล็กน้อย ภาษีก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ภาคธุรกิจจะใช้เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ เพื่อลงทุนหรือว่าย้ายฐานการผลิต เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้ในการประกอบการพิจารณา อีกด้วย
ธุรกิจไทยกว่า 90% มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ
จากผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 รายงานว่า ธุรกิจไทยกว่า 90% มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่า 50% คาดว่า จะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ในประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ และเป็นประเทศที่รายได้เติบโต ถือเป็นหมุดหมายที่ผู้ประกอบการไทยสนใจ
รองลงมาคือจีน และ ภูมิภาคเอเชียเหนือ โดยมีแนวทางในการเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบดิจิทัล
เร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว และ เดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ยังเผชิญความท้าทาย ด้านจำนวนลูกค้า และ ความเข้าใจตลาด ที่จำกัด ในแต่ละประเทศ ก็ตาม
ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน
ส่วนสถานการณ์ภายในประเทศในขณะนี้ มองว่า การเมือง เป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจกังวล เช่นเดียวกับ มาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
โดยอยากให้มองผ่านความไม่แน่นอนระยะสั้น และ โอกาสทางธุรกิจจริงๆ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยยังคงมีความหวัง ในการเติบโตทางธุรกิจและภาพรวมของประเทศไทยด้วย
ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุว่า ในเอกสารที่ทรัมป์ลงนามด้วยตัวเอง ระบุว่า “เป็นการนำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับคืนมาด้วยการจัดการกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่เท่าเทียมกันซึ่งคุกคามเศรษฐกิจของประเทศตลอดจนความมั่นคงของชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้นโยบาย “America First” ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
การที่สหรัฐฯ คงอัตราการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากไทยที่ 36% ธนิต กล่าวว่า ภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงาน โดยมีการประมาณการเบื้องต้นว่ามีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 18-20 ล้านคน จะได้รับผลกระทบ หากอัตราภาษีนำเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ของไทยสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย (ซึ่งเวียดนามถูกเรียกเก็บภาษี 20%) จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อปริมาณและมูลค่าการส่งออกที่ลดลง
ผลที่ตามมาคือการลดกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหา แรงงานส่วนเกิน ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่อาจต้องสูญเสียตำแหน่งงานและ/หรืออาชีพ โดยผลกระทบจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ของอุตสาหกรรมหรือภาคบริการนั้น ๆ
เปิด 12 อุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบ
ธนิต ระบุว่า 12 อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจาก มาตรการภาษีของทรัมป์ ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ผลิตภัณฑ์ยาง
อัญมณีและเครื่องประดับ
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบอื่น ๆ
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
อุปกรณ์กึ่งตัวนำ-ทรานซิสเตอร์
เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก
ผลิตภัณฑ์พลาสติก
อาหารสัตว์
อาหารทะเล/ผลไม้กระป๋องและแปรรูป
“ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย การที่ประธานาธิบดีทรัมป์คงอัตราภาษี “Reciprocal Tariff” ที่ 36% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในอาเซียน หากไทยไม่สามารถมีข้อเสนอหรือดีลใหม่ ๆ ที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์สนใจและลดภาษีให้ใกล้เคียงหรือเท่ากับเวียดนามได้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคการส่งออกมีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน อัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนามที่อยู่ที่ 20% จะทำให้ ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง หรือไม่สามารถแข่งขันได้” ธนิต กล่าว
กูรูเศรษฐกิจ คาด เศรษฐกิจไทย ปี 68
“ทีมไทยแลนด์” เดินหน้าเจรจา
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” โดยระบุว่า การประกาศอัตรา 36% สำหรับไทยในครั้งนี้ อาจเป็นผลจากข้อจำกัดด้านเวลาในการพิจารณาของสหรัฐฯ เนื่องจากข้อเสนอที่ปรับปรุงล่าสุดของไทยที่ส่งไปเมื่อวันที่ 6-7 กรกฎาคม อาจยังไม่ถูกนำมาประกอบการพิจารณาอย่างเต็มที่
“ข้อเสนอหลักของไทยในการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษี ได้แก่ การลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยประมาณ 90% ของรายการสินค้าจะได้รับการลดหย่อน และส่วนใหญ่ในนั้นจะเป็น 0% รวมถึงการเสนอแผนการลดการได้ดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ภายในระยะเวลาที่สั้นลง จากเดิม 10 ปี เหลือ 7 ปี
อย่างไรก็ตามตนมี ความเชื่อมั่นว่า ข้อเสนอใหม่ของไทยดีพอที่จะทำให้สหรัฐฯ พิจารณาและเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีให้ลดลงได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม โดยคาดหวังว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในช่วง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์นั่นเอง” พิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/thai-usa-05072025/
ที่มาของข้อมูล : https://www.bbc.com/news/articles/cd0vkl31085o
