BangkokX-Horizontal
เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ สร้างกำไร ปี 68
เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ สร้างกำไร ปี 68

เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ สร้างกำไร ปี 68 ทั้งกลุ่ม อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ สินทรัพย์ จากกลุ่มประเทศอินเดีย เวียดนาม และ ญี่ปุ่น ที่ราคาหุ้นขึ้น และ กลุ่มตราสารหนี้ รีท และ ทองคำ

ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในปี 2568 จากนโยบาย กีดกันทางการค้า ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุนให้ 3 กลุ่มสินทรัพย์มีมูลค่าสูงขึ้นในปี 2568 ได้แก่

  1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และ กลุ่มสถาบันการเงิน
  2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น

และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ

ในขณะที่หุ้นใน ตลาดหุ้นจีน น้ำมัน และ พลังงาน มี แนวโน้มปรับตัวลดลง นักลงทุนต้อง ระมัดระวัง ในการลงทุน ณัฐกฤติ กล่าว

 

 

เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ สร้างกำไร ปี 68

สำหรับ รายละเอียดแต่ละ สินทรัพย์ที่เหมาะจะลงทุน ในแต่ละกลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่จะได้รับประโยชน์ จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคล

ธุรกิจในสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์อย่างมาก จากการลด ภาษีนิติบุคคลจาก อัตรา 21% เหลือ 15% และ ขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) จะช่วยให้ทั้ง รายได้ และ กำไร ของ บริษัทจดทะเบียน ในสหรัฐฯ สูงขึ้นทันที และ ช่วยหนุนให้ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ดีกว่า ตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลก

สำหรับ หุ้นกลุ่มที่จะได้ อานิสงค์ สูงสุด จากประเด็นนี้ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ และ กลยุทธ์ทิสโก้ TISCO ESU คาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2568 จะปรับขึ้น 6.8% ตามด้วย กลุ่มบริการการสื่อสาร (Commucation Services) และ กลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) โดยกำไรต่อหุ้น ในปี 2568 จะปรับขึ้น 5.1% และ 4.6% ตามลำดับ

โดยทั้งสามกลุ่ม จะได้ประโยชน์จาก การลดภาษีนิติบุคคล และ มีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ จาก สงครามการค้าในระดับต่ำ

  1. กลุ่มประเทศ ที่ราคามักปรับขึ้น ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเกิด สงครามการค้า

ในช่วงที่สหรัฐฯ เดินหน้ามาตรการ ขึ้นภาษีนำเข้า จะกดดันให้ ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับลดลง สวนทางกับ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2560 – 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ “ทรัมป์” ใช้มาตรการขึ้นภาษีดังกล่าว พบว่า นอกจาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับ เพิ่มขึ้น 43% ในช่วง 3 ปี แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมี ตลาดหุ้นประเทศอื่น ปรับตัวขึ้น ตามไปด้วย คือ ตลาดหุ้นอินเดีย ปรับขึ้น 55% ตลาดหุ้น เวียดนามปรับขึ้น 34% และ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้น 21%

เนื่องจาก ทั้งสามประเทศ ได้รับ ผลกระทบ สงครามการค้า อย่างจำกัด และ เศรษฐกิจในประเทศ ได้รับปัจจัยหนุน จาก การกระตุ้นเศรษฐกิจ ของภาครัฐฯ

และ หากมองไปข้างหน้า 3 ประเทศ นี้ ก็ยังมี ปัจจัยหนุนเฉพาะตัว ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการบริโภคภายในประเทศ ที่แข็งแกร่ง มีสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP ของแต่ละประเทศ โดย ประเทศอินเดีย และ เวียดนาม ถูกมองว่า เป็นทางเลือกในการเป็น ผู้ผลิต หรือ เป็นทางผ่านของ การส่องออก สินค้า ไปทั่วโลก แทน จีน

ขณะที่ ประเทศญี่ปุ่น ยังมีปัจจัยช่วยจาก ค่าเงินเยน ที่อ่อนค่าลง และ อ่อนไหว ต่อประเด็น สงครามการค้าต่ำ ทำให้ทั้ง 3 ประเทศมี ภูมิต้านทาน ทางเศรษฐกิจ ต่อ การปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า สหรัฐฯ อีกด้วย

  1. สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง สหรัฐฯ

ในปี 2568 ธนาคารทิสโก้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับ ลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงสู่ระดับ 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.50 – 4.75% ซึ่ง สินทรัพย์ ที่จะได้รับประโยชน์ จากการสถานการณ์ดังกล่าว คือ ตราสารหนี้ระยะสั้น และ ทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

นอกจากสินทรัพย์ดังกล่าวจะมี โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังช่วยลดความผันผวน ของ พอร์ตการลงทุน ในช่วงที่สินทรัพย์อื่นๆ จะได้รับ ผลกระทบ จากนโยบายของทรัมป์อีกด้วย

นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้ยังมองว่า “ทองคำ” เป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ทรัมป์เดินหน้านโยบายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นก็ทำให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังเช่นในสมัยแรกที่ดำรงตำแหน่งหนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 39% ในระยะเวลาเพียง 4 ปี การเพิ่มขึ้นของหนี้ส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 53% ตามแนวโน้มปริมาณหนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่สูงมากถึง Correlation Coefficient = 0.9

ส่วนสินทรัพย์ที่ควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในปี 2568 นั่น ณัฐกฤติ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน “หุ้นจีน” ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ ในการกีดกันทางการค้าและเศรษฐกิจภายในประเทศยังชะลอตัวจากมาตรการภาครัฐฯ ที่ยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ รวมถึง “หุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงานสะอาด” ที่มีความเสี่ยงถูกกดดันจากแนวโน้ม Supply ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า Demand ของโลกรวมถึงได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์สนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลดลงได้

 

ที่มาของข้อมูล : https://www.tisco.co.th/en/wealth

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/co2-green-23092024/

 

Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X

บทความที่เกี่ยวข้อง