ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง มาอยู่ที่ 30 สะท้อน ภาวะอ่อนแอ-อ่อนไหว
ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง

ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง มาอยู่ที่ 30 สะท้อน ภาวะอ่อนแอ-อ่อนไหว ทั้ง ประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ

ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง

วันที่ 18 มิถุนายน 2568 สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) เผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถ ในการแข่งขัน ของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD – WCC) ประจำปี 2568 ปรากฏว่า ประเทศไทย มีขีดความสามารถแข่งขัน ลดลง ปี 2568 5 อันดับ เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยลงมาอยู่อันดับที่ 30 เท่ากับปี 2566

ส่วนเขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอันดับเพิ่มเติม 3 เขตเศรษฐกิจ คือ โอมาน เคนยา และนามิเบีย และ มี 1 เขตเศรษฐกิจ ที่ไม่เข้าร่วมการจัดอันดับ คือ อิสราเอล ทำให้มีประเทศ ที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจจากเดิมที่มี 67 เขตเศรษฐกิจ

นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ใน ปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ 3 ตัวชี้วัด และ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 3 ตัวชี้วัด ทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดที่ใช้ใน การจัดอันดับรวมทั้งสิ้น 262 ตัวชี้วัด โดยใช้ข้อมูลสถิติ 170 ตัวชี้วัด และจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารภาคธุรกิจ 92 ตัวชี้วัด

ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง ทั้ง 4 ด้าน

ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง

จากปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน “ไทย” มีอันดับลดลงจากปีที่แล้วในทุกด้าน โดยลดลงมากที่สุดในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ที่ลดลงถึง 8 อันดับ รองลงมาคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ที่มีอันดับลดลงจาก ปีที่แล้ว 4อันดับ และ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ลดลง 3 อันดับ ทั้งนี้ มีประเด็นหลัก ในแต่ละด้านดังนี้

สมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับปรับลงเล็กน้อยจากอันดับที่ 5 เป็นอันดับที่ 8 จากการ ลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) ที่มีอันดับต่ำลงถึง 10 อันดับ

ในขณะที่ เศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) มีอันดับดีขึ้น 1 อันดับ แต่ยังคงอยู่ในอันดับต่ำ คืออันดับที่ 38 และ อัตราค่าครองชีพ (Prices) มีอันดับดีขึ้น 4 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 13

ทั้งนี้ ประเทศไทย มีอันดับที่ดี ในด้านการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) และ การจ้างงาน (Employment) โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 และอันดับที่ 3 ตามลำดับ

ประสิทธิภาพของภาครัฐ ลดลงจากอันดับที่ 24 มาอยู่ในอันดับที่ 32 ประเด็นหลัก ที่ลดลง มากที่สุดและ มีอันดับต่ำที่สุด ในหมวดนี้ คือ กรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) ที่ลดลงถึง 10 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 49

รองลงมา คือ ด้านการเงินภาครัฐ (Public Finance) ที่ลดลงถึง 10 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 31 ส่วนด้านอื่น ๆ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Business Legislation) และ กรอบดำเนินการด้านสังคม (Societal Framework) ถึงแม้จะมีอันดับลดลงไม่มาก แต่ก็เป็นประเด็นที่ประเทศไทย ยังมีอันดับต่ำ คืออยู่ในอันดับที่ 40 และ 45 ตามลำดับ

และมีเพียงด้านเดียวที่มีอันดับที่ดี ในหมวดนี้ คือ นโยบายด้านภาษี (Tax Policy) ที่ไทยอยู่ใน อันดับที่ 8 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ

ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ลดลงจากอันดับที่ 20 มาอยู่ในอันดับที่ 24 โดยประเด็นด้าน ผลิตภาพ (productivity) ยังคงเป็นจุดอ่อนของประเทศ ถึงแม้จะมีอันดับดีขึ้นเล็กน้อย จากอันดับที่ 42 เป็น 39

เนื่องจากผลิตภาพ ของแรงงาน และ ผลิตภาพในทุก ภาคเศรษฐกิจของไทย มีอันดับต่ำ เป็นอย่างมาก มาโดยตลอด รองลงมา ได้แก่ ด้านการเงิน (Finance) ที่มีอันดับลดลงถึง 12 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 36 โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ อัตราการเปลี่ยนแปลง ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Stock Market Index) ที่อยู่ในอันดับ 67 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ กิจกรรม M&A ของบริษัทจดทะเบียน และการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัตร เป็นต้น

โครงสร้างพื้นฐาน เป็นปัจจัยที่ไทยอยู่ในอันดับต่ำมาโดยตลอด และ ยังมีอันดับที่ลดลงอีก ในปีนี้ โดยมาอยู่ที่อันดับที่ 47 ถึงแม้ว่า อันดับในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) จะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำมาก

แต่ก็มีอันดับลดลงในปีนี้ มีเพียง โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure) ที่ขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในอันดับต่ำ ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็น พื้นฐานสำคัญ ในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม และการศึกษา ยังคงอยู่ในอันดับ ที่ต่ำมากคือ อันดับที่ 58 และ 55 ตามลำดับ

ขีด ความสามารถแข่งขัน “ไทย” ร่วง

“ไทย” มีปัญหาเชิงโครงสร้าง

ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศดังกล่าว ข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทย มีความอ่อนแอ ทั้งเชิงโครงสร้าง และ เชิงระบบที่ส่งผลต่อ การพัฒนาประเทศ และ อ่อนไหวต่อความผันผวน จากสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลก และ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่า เกือบทุกประเทศ ในอาเซียน ในระยะที่ผ่านมา

ประเทศไทยเผชิญกับ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ สะสมมานาน หลายปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ประเทศขาด New S-curves ที่เพิ่มมูลค่า ทางเศรษฐกิจ ขาดระบบการบริหาร และ กลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์แผนงาน ที่มี focus และมีประสิทธิภาพ

หน่วยงาน ด้านเศรษฐกิจกระจัดกระจาย (Fragmented) ขาดหน่วยงานกลางดูแลภาพรวม สื่อสารนโยบายและติดตามผลการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วนอย่างจริงจัง และ ต่อเนื่อง ประสิทธิภาพ การทำงานภาครัฐ (Government Efficiency) ยังคงมีปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ แยกส่วน (Silo) กฎหมายที่ไม่ทันสมัย กระบวนการเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน SMEs อ่อนแอ และโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนได้

แนะรัฐ ต้องพัฒนาความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืน

 

นิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้เสนอแนวทาง การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยกำหนดทิศทางในการพัฒนาดังนี้

1.Economic Performance มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Strategic Sector) คือ Agri-food และWellness & Medical Tourism เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยพิจารณาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ (leverage key strengths) และขยายผลโดยใช้โอกาสจากกระแสความต้องการของโลก (capture global trends) โดยก่อประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม (economic and social impacts)

  1. Government Efficiency สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐ (Credible government) จัดตั้งหน่วยงานขับเคลื่อนกลาง กำหนดแชมป์เปี้ยนที่มีอำนาจและความสามารถอย่างแท้จริง ปรับกฎระเบียบและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (ease of doing business) ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มชนชั้นกลางเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

  1. Business Efficiency – Enterprise Transformation เพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพของธุรกิจ หาตลาด Segment และช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ และนำ Digital platform มาประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยน SMEsให้เป็น Innovation driven enterprises และพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อการเติบโต (Upskill and Reskill)

  1. Infrastructure – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการปฏิรูประบบการศึกษา เน้น Strategic skills และวางรากฐานระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

นิธิ กล่าวอีกว่า ภายใต้วิกฤติต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้ อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหา เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้าง การเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง และร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของ SMEs

ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitive advantage แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง

 ดังที่หลาย ๆ ประเทศที่ประสบปัญหาและเผชิญความท้าทายของสถานการณ์โลกเช่นเดียวกับเราที่สามารถปรับตัวฝ่าวิกฤติ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยก็สามารถทำได้หากเรามีทิศทางที่ชัดเจน นิธิ กล่าว

ที่มาของข้อมูล : https://www.imd.org/centers/wcc/world-competitiveness-center/rankings/world-competitiveness-ranking/

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/moody-economy-30042025/

[addtoany]
Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X