EA ความเสี่ยง นักลงทุน กับ มาตรฐาน การทำงาน ก.ล.ต. เป็นคำถามที่น่าสนใจ เมื่อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับ บริษัท พลังงาน บริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ไม่ใช่เรื่องที่ เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน หรือ สัปดาห์ หรือ เดือน แต่เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ปี 2556 และ ถูกร้องเรียนในปี 2559

จากราคาหุ้นที่เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ 5.50 บาท ต่อ หุ้น  ในปี 2556 ที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ 10-20 บาทต่อหุ้น ใน วันที่เริ่มถูกร้องเรียนในปี 2559

ก่อนที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปสูงสุด ในช่วง 7 ปี ราคาหุ้นขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 105.5 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เท่าตัว ภายในระยะเวลา 7 ปี หรือ เฉลี่ย ราคาหุ้นปรับตัว ขึ้นต่อเนื่อง 15-20% ต่อปี

นับตั้งแต่ปี 2559 ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. เข้าตรวจสอบ ปัญหาการทุจริตในหุ้นตัวนี้ ใช้เวลานานถึง 8 ปี ในการตรวจสอบ และปล่อยให้หุ้นมีการซื้อ-ขาย ไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีสัญญาณเตือน นักลงทุนใดๆ

ก.ล.ต. ชี้แจงในวันที่ประกาศ เปิดเผยเกี่ยวกับ การทุจริตในบริษัท EA และ กล่าวโทษผู้บริหารทั้งสามคน ประกอบด้วย สมโภชน์ อาหุนัย และ อมร ทรัพย์ทวีกุล ซึ่งเป็นกรรมการและผู้บริหาร บริษัท EA รวมทั้ง พรเลิศ เตชะรัตโนภาส ต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกระทำการทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้แก่ตนเอง และ/หรือผู้อื่น ทำให้ EA และบริษัทย่อยเสียหาย วงเงินสูงถึง 3,456 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 กรกฏาคม 2567 ว่า

ที่การตรวจสอบมีความล่าช้า  หลังจากที่ ก.ล.ต. ได้รับเรื่องร้องเรียน ในช่วงปลายปี 2559 ว่า ทาง ก.ล.ต.ได้ ตั้งประเด็น ตรวจสอบหลายประเด็น เกี่ยวพันกัน หลายมาตรา มีความซับซ้อน ในการตรวจสอบ และ มีข้อมูลที่ต้องพิจารณา จำนวนมาก ในแต่ละ ประเด็น

นอกจากนี้ ตามกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ก.ล.ต. ให้เวลาและโอกาสผู้ต้องสงสัยชี้แจงอย่างเต็มที่เพื่อความเป็นธรรม ทั้งกรณี การเรียกมาสอบถ้อยคำ และ การให้ชี้แจง เป็นหนังสือ

อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ต้องประสานหน่วยงานกำกับ ในต่างประเทศ หลายแห่ง ทำให้การสอบสวนมีความล่าช้า

อ่านถ้อยแถลงของ ก.ล.ต. แล้ว ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจ ขณะที่มีการตรวจสอบ ก.ล.ต. เพราะมี คดีมีมูล แต่กลับปล่อยให้ หุ้นมีการซื้อ-ขายอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบ กับ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ที่เข้าไปซื้อ-ขายหุ้น

จากราคาหุ้นที่ 20 บาท ไปถึง 105.50 บาทต่อหุ้น และตอนนี้หุ้นลงมาเหลือ 6.45 บาทต่อหุ้น ในปัจจุบัน

ความเสียหายที่เกิดขึ้น กับ นักลงทุนรายย่อย ที่ขายหุ้นไม่ทัน คือ หลายเท่าตัว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ!

EA ความเสี่ยง นักลงทุน กับ มาตรฐาน หุ้น NEX และ BYD

นอกจาก ความเสียหายที่เกิดขึ้น กับ ผู้ถือหุ้นรายย่อย EA มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 42,659 ราย แล้ว ยังกระทบกับผู้ถือหุ้นรายย่อย ใน บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX จำนวน 12,280 ราย และ ผู้ถือหุ้นรายย่อยใน บริษัท หลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD 11,850 ราย เพราะราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัท ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง

เพราะการขาย แบบ เทกระจาดของนักลงทุน ที่ไม่มั่นใจ อนาคตของธุรกิจ

ย้อนกลับไป ในปี 2559 ถ้า ก.ล.ต.ส่งสัญญาณ เตือนภัยนักลงทุน ว่า มีการตรวจสอบกระบวนการทุจริต ใน EA ตั้งแต่ เมื่อ 9 ปีก่อน นักลงทุนคงไม่แห่ กันเข้าไปซื้อหุ้น EA และ กิจการในเครืออย่างต่อเนื่อง จำนวนนักลงทุน และ ความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นก็จะน้อยกว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน

แต่ ก.ล.ต. กลับเงียบสนิท ปล่อยให้นักลงทุนแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ จนราคาหุ้นพุ่งทะยานไปอย่างต่อเนื่อง สูงสุดถึง 105.50 บาท ก่อนจะรูดลงมาเหลือเพียง 6 บาทเศษในปัจจุบัน
ถึงแม้ ก.ล.ต. จะพยายาม อธิบายว่า กระบวนการตรวจสอบ ต้องใช้เวลา และ ไม่สามารถที่จะให้รายละเอียด ได้ จนกว่า การตรวจสอบจะมีความชัดเจน ก็ตาม แต่ผลของการไม่ชี้แจง ไม่มีการเตือน ทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้น ตก อยู่กับนักลงทุนรายย่อย ที่ไม่มีข้อมูล เพียงพอ สำหรับการตัดสินใจ

คำถามคือ หลังจากตรวจสอบและดำเนินคดี กับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ความเสียหายที่เกิดกับนักลงทุน ใครจะรับผิดชอบ

และต่อไป ใครจะเชื่อถือกับ มาตรการของ ก.ล.ต. และ มาตรฐานในการพิจารณา หุ้นยั่งยืน

เพราะ EA คือ 1 ใน หุ้นที่ได้รับการรับรองเป็นหุ้นยั่งยืน ในปี 2560 หรือ 1 ปี หลังจากที่ ก.ล.ต. เริ่มดำเนินการตรวจสอบ หุ้นตัวนี้ และเป็นหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2560 – กรกฏาคม 2567

ถ้าไม่เปิดเผยการตรวจสอบ ก็ยังคง เป็นหุ้นยั่งยืนต่อไป?

ที่มาของข้อมูล : https://market.sec.or.th/public/idisc/th/FinancialReport/ALL-0000006768

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/world-bank-03072024/