BangkokX-Horizontal
“ไมโครซอฟท์-กูเกิล” ลุย พัฒนา ระบบความปลอดภัย การใช้ AI ในประเทศไทย
“ไมโครซอฟท์-กูเกิล” ลุย พัฒนา ระบบความปลอดภัย การใช้ AI ในประเทศไทย

“ไมโครซอฟท์-กูเกิล” ลุย พัฒนา ระบบความปลอดภัย การใช้เทคโนโลยี AI ในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ตอบโจทย์เป้าหมายการเพิ่มศักยภาพและการแข่งขันด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของประเทศไทยตามแผนรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยในปี 2570

เวทีสัมมนา “The Digital Imperative” ที่จัดโดยสมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association : TMA) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 สองบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีดิจทัล

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท กูเกิล คลาวด์ ประกาศพร้อมสนับสนุนและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ให้กับภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อตอบโจทย์ในการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการแข่งขันของประเทศไทย ตามแผนรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยในปี 2570

เชาวลิต รัตนกรไกรศรี รองกรรมการผู้จัดการ สายงานโซลูชันองค์กร บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในการสัมมนาหัวข้อเรื่อง “Telling Right form Not Right: A Matter of Trust in the Digital World” ว่า

ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์ ได้มีการทำงานกับภาครัฐในเรื่องการทำงานและการพัฒนา AI มาใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเรามีแผนที่จะการเพิ่มทักษะการใช้ AI ของคนไทย ในปี 2567 จำนวน 1 ล้านคน

“ไมโครซอฟท์-กูเกิล” ลุย พัฒนา ระบบความปลอดภัย
เชาวลิต รัตนกรไกรศรี

นอกจากนี้เราได้ร่วมกับรัฐบาลไทยในการเชิญชวนและประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้าใช้และมีส่วนร่วมในการพัฒนา  AI ให้เหมาะกับการใช้งาน รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงในการทำงาน และระบบป้องกันปัญหาที่เกิดจากการทำเนื้อหาที่มีความรุนแรงหรือผิดกฏหมายที่ไม่เหมาะสมของ AI

โดยปัจจุบันมีการพัฒนาแพลตฟอร์มที่นำ Generate AI มาใช้โดยให้หน่วยงานของภาครัฐและคนไทยสามารถ Generate AI ของตัวเองและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของตนเองได้ นายเชาวลิต กล่าว

“ปัจจุบัน เทคโนโลยี และ AI เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการให้ทุกคนสามารถใช้เทคโนโลยี และ AI  โดยมี 2 ภารกิจหลัก คือ

การทำอย่างไรที่จะพัฒนาเทคโนโลยี สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคนและสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้คนและสังคม และ การสร้างความไว้วางใจ (Trust) ในการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย

สิ่งสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของ ไมโครซอฟท์ ไม่ใช่แค่การพัฒนาเครื่องมือในการใช้งานในระบบการทำงาน (Feature) แต่ เป็นเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล ในการใช้งาน

เพราะเรารู้ว่า ไม่ว่าเครื่องมือจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปลอดภัยสำหรับการใช้งาน ก็จะไม่มีประสิทธิผลในการทำงาน” เชาวลิต กล่าว

จากการวิจัยของไมโครซอฟท์ พบว่า คนไทยใช้ Generate AI สูงถึง 92% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของทั่วโลกที่ใช้ Generate AI เฉลี่ย 73%

และจากผลการวิจัยพบว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจกังวลในการใช้ AI คือเรื่องของการหลอกลวง  และการรั่วไหลของข้อมูลจากการใช้ Generate AI

สิ่งที่ ไมโครซอฟท์ ทำคือ เราจะมีการตรวจสอบข้อมูลและระมัดระวังการรั่วไหลของข้อมูลโดยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยี AI สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับภาคธุรกิจ เชาวลิต กล่าว

อรรณพ ศิริติกุล
อรรณพ ศิริติกุล

อรรณพ ศิริติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กูเกิล คลาวด์  กล่าวว่า ปัจจุบัน กูเกิล มีกรอบการทำงานที่สำคัญในประเทศไทยในเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ใน 4 ประเด็นคือ

เรื่องแรกเป็นเรื่องด้านการให้การศึกษา (Education) ในโครงการ Advance AI โดยการให้ความรู้กับคนไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้เรามีแนวคิดในการพัฒนาให้ Advance AI เป็นผู้ช่วยในการทำงานให้กับผู้ใช้งาน

ในขณะเดียวกัน กูเกิล มีแผนที่จะลงทุนในเรื่องของ Advance Infrastructure ในประเทศไทย โดยการนำนวัตกรรมที่ใช้ AI ในระดับสูงมาใช้ในประเทศไทย

และ เรื่องที่ 4 ที่เราจะทำคือการตั้ง Academy เพื่อให้ความรู้กับอาจารย์และนักศึกษาในประเทศไทย ในเรื่องของเทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในประเทศไทย

“นอกจาก 4 แนวทางสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI ในประเทศไทยแล้ว สิ่งสำคัญคือ เราให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานเพื่อสร้างความไว้วางใจ (Trust) ในการใช้งานเทคโนโลยี ซึ่งกูเกิล มีระบบในการจัดการและบล็อก เว็ปไซด์อันตรายแบบ Real Time เพื่อป้องกันผู้ใช้งานของเรา ซึ่งเราลงทุนในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน” อรรณพ กล่าว

“ไมโครซอฟท์-กูเกิล” ลุย พัฒนา ระบบความปลอดภัย

ระบุ เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพ

 

ในขณะที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และส่งผลกระทบให้หลายอาชีพถูกทดแทนแรงงานคนด้วยเทคโนโลยี ในเวทีเสวนา เรื่อง “Thriving in a Humachine World” ศาสตราจารย์ อาร์ทูโร บริส (Professor Arturo Bris) Director IMD World Competitiveness Center กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ AI ที่เข้ามามีบทบาทในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ หลายอาชีพถูกทดแทนด้วย AI ทำให้เกิดคำถามว่า

อนาคต การทำงานร่วมกันระหว่างผู้คนกับเทคโนโลยี AI จะเป็นอย่างไร ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนในโลกไปเป็นในรูปแบบไหน แต่เราอาจจะประเมินได้จากข้อมูลในอดีต

ยกตัวอย่างวิกฤติที่เราเพิ่งผ่านมาคือ วิกฤติการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 ที่ทำให้อาชีพหลายอาชีพต้องหายไป จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาผมมองว่า

เทคโนโลยี เข้ามามีส่วนในการสร้างผลผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายงานเทคโนโลยี เข้ามาทดแทนคน ทำให้คนต้องหันไปพัฒนาหรือสร้างงานที่เทคโนโลยี ทำไม่ได้ การทำงานของคนจะมีความยืดหยุ่นและมีความหลากหลายมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย ศาสตราจารย์บริส กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจทัล และมีการสร้างแรงงานที่มีคุณภาพมากขึ้น ส่วนประเทศไทยจะไปในทิศทางไหน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นเรื่องที่ต้องมีการวิเคราะห์ทิศทางและเป้าหมายการเติบโตของประเทศในอนาคต

Professor Arturo Bris
Professor Arturo Bris

ในขณะที่  มาร์ติน วีโซสกี้ (Mr Martin Wezowski) Chief Futurist & Head of the Future Hub SAP, Germany ให้ความเห็นว่า เราตอบไม่ได้อย่างชัดเจนว่า

คนจะทำงานร่วมกับเทคโนโลยี อย่างไรในอนาคต เทคโนโลยีจะมาทดแทนคนทั้งหมดหรือไม่ แต่สิ่งที่เราทำได้ในการวิเคราะห์และมองเห็นอนาคตใน 10 ปีข้างหน้า หรือมากกว่านั้นได้ เราต้องมาดูว่า ตัวเราเองมีกลยุทธ์และยุทธวิธีอย่างไร ในปัจจุบันที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนในอนาคต

Martin Wezowski
Martin Wezowski)

“คนอื่นจะกำหนดตัวเราจากอดีต เราต้องตอบคำถามว่าอนาคตของเราจะไปอย่างไรในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราต้องมองว่าเรามีกลยุทธและยุทธวิธีอย่างไร

สำหรับอนาคต ในการวางกลยุทธ์ เราต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย เราต้องรู้ว่าอนาคตเป็นเรื่องที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องมีการตั้งสมมติฐานของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เลวร้ายสุดไปจนถึงดีสุด

แต่ละสถานการณ์เราต้องถามตัวเองว่าเราจะทำอะไร อย่างไร เมื่อเราคิดถึงอนาคตเราก็จะสามารถวางแผนและวางกลยุทธของตัวเองได้” วีโซสกี้ กล่าว

วีโซสกี้ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการที่จะวางกลยุทธ์ที่ดี เราต้องเห็นเป้าหมาย และเราต้องรับผิดชอบต่อเป้าหมายที่เราวางไว้ และ ออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสม เราต้องสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ให้เราสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ได้

“เทคโนโลยีหรือ AI มีประสิทธิภาพในการทำงานหลายอย่าง แต่ ผมไม่เคยเห็นหุ่นยนต์มาคุยเรื่องธุรกิจ เครื่องยนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเราได้ แต่ทำธุรกิจแทนเราไม่ได้

นั่นคือสิ่งที่ผมมองว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ในขณะที่ผู้คนที่จะวางกลยุทธ์ของตัวเองสำหรับอนาคต ที่สำคัญคือต้องพัฒนาทักษะของตัวเองในแบบของปัจเจกบุคคลมากขึ้น จะทำให้เราสามารถใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการทำงานของเราในอนาคต

ในแง่ของธุรกิจ ธุรกิจต้องสร้างวิสัยทัศน์ขององค์กร จากนั้นก็วางกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ อย่าเริ่มต้นที่ Roadmap แต่ให้เริ่มที่กลยุทธ์” วีโซสกี้ กล่าว

กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจ E-Government เป็นไปตามแผนพัฒนา 5 ปี (2566-2570)

 แนวโน้มและทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI ในประเทศไทย รวมทั้งการที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะของการทำงานของแรงงานในประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปาฐกถาในหัวข้อ “The Digital Imperative” ถึงความพร้อมของประเทศไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบันว่า

 กรอบการทำงานงานของกระทรวงดิจิทัล มีหน้าที่สำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มสมรรถภาพของประเทศในเรื่องความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล

วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ
วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ

โดยปัจจุบันความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับที่ 35 ในปี 2567 เพิ่มขึ้นมาจากอันดับที่ 40 ในปี 2566 จากการจัดอันดับของ IMD

 แต่เราก็มีเป้าหมายที่จะพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงได้มีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของประเทศ

และ มีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาลดจุดอ่อนเพิ่มจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่กระทรวงมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำในตอนนี้อยู่ 3 เรื่องเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการทำงานของรัฐบาลไทยสู่การเป็น E-Government ได้แก่

  1. การพัฒนาระบบของ E-Government โดยการทำงานและสื่อสารผ่านระบบดิจิทัล รวมทั้งการใช้ AI ในการดูแล ปัจจุบันเราได้มีการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยใช้ Go Cloud First ปัจจุบันทุกหน่วยในกระทรวงดิจิทัลเป็น Fully Digital ทุกกลไกในระบบใช้ดิจิทัล ไม่มีการใช้กระดาษ การทำ POC ในระบบ Cloud ซึ่งตอนนี้กระทรวงได้งบประมาณเพื่อปรับระบบราชการทั้งหมดให้ใช้ระบบ Fully Digital โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2567 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 60% ในระบบราชการไทย ทั้งประเทศ โดยมีการเชื่อมกับระบบการทำงานทั้งหลังบ้านและหน้าบ้าน โดยมีนโยบาย ที่จะรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในระบบ Cloud ซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่ต้องติดต่อราชการอีก แต่สามารถติดต่อผ่านดิจิทัล โดยการยืนยันตัวตนผ่านดิจิทัล ซึ่งเป็นการเชื่อมกับ Cloud AI ที่มีความปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นในปี 2567
  2. การสร้างบุคลากร หรือ Digital Manpower เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีการหารือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีการร่วมมือกับทุกส่วนงาน มีการเปิดตัวโครงการ Learn to Earn Platform เป็นการบูรณาการข้อมูล ด้านการศึกษา การนำทุกระบบเข้ามาเชื่อมโยงกัน การพัฒนาสถาบันคุณวุฒิด้านวิชาชีพ และเชื่อมโยงข้อมูลกับภาคเอกชน ซึ่งจะร่วมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลกับสถาบันการเงิน มีกระบวนการเรียนรู้และทำให้เกิดประโยชน์ ปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงกับตลาดมากขึ้น
  3. การสร้างความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Trust) การบริหารจัดการพวก Scammer เรื่องการหลอกลวง ที่เกิดขึ้นในระบบ กระทรวงฯ มีหน้าที่ในการบริหารจัดการและต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงการหลอกลวงที่เกิดขึ้นกับระบบ โดยปัจจุบันกระทรวงฯ สามารถปิด website และ social media แบบ online มี Robot ตรวจ online มีศูนย์ที่ลดการหลอกลวง online และมุ่งมั่นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายกับเรื่องพวกนี้ด้วย

“ทั้ง 3 ภารกิจ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผน 5 ปี ในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2566-2570” ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฐ์ กล่าว

ที่มาของข้อมูล: https://www.tma.or.th

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: https://bangkokx.me/co2-green-23092024/

Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X

บทความที่เกี่ยวข้อง