สงครามภาษี เขย่า เศรษฐกิจไทย ไปไม่ถึงเป้าหมาย
สงครามภาษี เขย่า เศรษฐกิจไทย ไปไม่ถึงเป้าหมาย

สงครามภาษี เขย่า เศรษฐกิจไทย ไปไม่ถึงเป้าหมาย Krungthai Compass ระบุ กรณีแย่ที่สุด อัตราการเติบโตของ เศรษฐกิจไทย จะเหลือเพียง 0.7% ปี 2568

กฤษฏิ์ ศรีปราชญ์ นักวิเคราะห์จาก Krungthai Compass วิเคราะห์ถึงผลกระทบจาก สงครามการค้า หลังจากสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า กับ ประเทศคู่ค้ากว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ว่า สงครามการค้าที่ขยายวง ส่งผลให้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ปรับลดการคาดการณ์ การเติบโต ของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จาก 3.3% เหลือ 2.8%

ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับลดจาก 2.7% เหลือ 1.8% โดย IMF ระบุว่า โอกาสที่สหรัฐฯ จะเกิด ภาวะถดถอยในปี 2568 อยู่ที่ 37% และ โอกาสที่ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะต่ำกว่า 2% มีถึงเกือบ 30% ซึ่งสูงขึ้น จากการประเมินก่อนหน้า

ด้านยูโรโซน ปรับลด จาก 1.0% เหลือ 0.8% ญี่ปุ่นปรับ ลดจาก 1.1% เหลือ 0.6% และ จีน ปรับลดจาก 4.6% เหลือ 4.0% ส่วนประเทศไทยนั้น IMF ได้ปรับลดจาก 2.9% เหลือ 1.8%

นอกจากนี้ ปริมาณการค้าโลก ยังถูกปรับลดจาก 4.2% เหลือ 1.7% ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่อการค้าระหว่างประเทศ

 

คาดเศรษฐกิจไทย ปี 2568 อาจโตเพียง 0.7%

 

จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและความเสี่ยงที่สูงขึ้น Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ออกเป็น 2 สถานการณ์

Scenario 1 (S1): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) ตั้งแต่ ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 หลังจากที่มีการเลื่อนการขึ้นภาษีเต็มรูปแบบออกไป 90 วัน

 โดยในช่วงครึ่งปีหลังการเจรจากับสหรัฐฯ ประสบผลสำเร็จทำให้ภาษีลดเหลือเพียง universal tariff ที่ 10% จาก 36% ที่มีการรวม reciprocal tariff

ขณะที่ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ได้รับการยกเว้น

ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0% ลดลงจากการประมาณการเดิมที่ 2.7%

Scenario 2 (S2): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และ ในช่วงครึ่งปีหลัง ได้รับ

ผลกระทบเต็มรูปแบบ จากการขึ้นภาษี reciprocal tariff ที่ 36%

นอกจากนี้ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2

โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์จะได้ถูกจัดเก็บตั้งแต่  ไตรมาสที่ 3

ผลกระทบจากภาษี

จากสถานการณ์ดังกล่าว  Krungthai COMPASS  ปรับลดการคาดการณ์ การเติบโตของ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือ 2.0% ในกรณีที่ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง และ อาจลดลงเหลือ 0.7% ในกรณี ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับมุมมองของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คาดว่า เศรษฐกิจระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงสูงขึ้น จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงสู่ระดับ 1.75%

โดยคาดกรณีผลกระทบปานกลาง เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่กรณีผลกระทบรุนแรง เศรษฐกิจอาจขยายได้ 1.3%

สงครามภาษี เขย่า เศรษฐกิจไทย ไปไม่ถึงเป้าหมาย

 

สงครามภาษี เขย่า เศรษฐกิจไทย ไปไม่ถึงเป้าหมาย

สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ มูลค่า กว่า 1.6 ล้านล้านบาท

 

Krungthai COMPASS ระบุว่า แม้ว่าผลกระทบจาก สงครามการค้าในครั้งนี้ จะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป (slow burn) มากกว่าการเกิด  ผลกระทบทันที (one time shock) เช่นในกรณีโควิด-19

แต่ยังคงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ GDP ของไทยในปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวแรงจนอาจเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (technical recession)

นอกจากผลกระทบเฉพาะหน้าที่สำคัญ อาทิ การส่งออกจากภาระภาษีที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ การลงทุนที่จะต่ำกว่าที่คาดไว้เนื่องจาก ธุรกิจเลื่อนการลงทุน เพื่อรอประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐแล้ว ยังมีผลกระทบระยะถัดไปที่ต้องเตรียมรับมือ ประกอบด้วย

  • ผลระยะยาว ในรูปแบบ ของ “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” ที่ทำให้ ไทย สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ในระยะ 5 ปีข้างหน้า มูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านบาท
  • ผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ไทย กว่า 4,990 ราย ที่จะได้รับ ผลกระทบโดยตรง จากมาตรการภาษี เพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้า    ยานยนต์ยานยนต์และชิ้นส่วน  เหล็ก อลูมิเนียม  และเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • เสียหายกว่า 1.6 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แผลเป็นทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้ามีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและส่งผลระยะยาวแตกต่างจากโควิด-19 ที่เป็นผลกระทบฉับพลัน ดังนั้น ประเทศไทยควรมองวิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ :

  1. ยกระดับตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่าโลก: ผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ สำหรับธุกิจที่ต้องการกระจายความเสี่ยง
  2. พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน: เร่งยกระดับทักษะแรงงาน การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ
  3. ขยายตลาดและพันธมิตรการค้า: แสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน (align interest) รวมทั้งเร่งรัดการเจรจา FTA
  4. รับมือกับความท้าทายจากจีน: เร่งรัดการปรับสมดุลการค้ากับจีน โดยเน้นย้ำการเป็น free and fair trade

สงครามการค้าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภาวะวิกฤตที่ต้องเยียวยาชั่วคราว แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเทศไทยต้องใช้เป็นโอกาสในการวางตำแหน่งใหม่ของเศรษฐกิจไทยในบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัว เติบโต และแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ที่มาของข้อมูล : https://krungthai.com/th/financial-partner/economy-resources/business-digest

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/mof-economy-01052025/

[addtoany]
Ellipse 1
กองบรรณาธิการ Bangkok X