
เศรษฐกิจไทย จะไปต่อ หรือ พอแค่นี้ ถึงแม้ มูดี้ส์ จะคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 แต่ปรับมุมมอง ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ Negative Outlook
ในขณะที่สัปดาห์ก่อน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ได้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ปี 2568 จาก 3.3% เหลือ 2.8% และปรับลดประมาณการณ์ การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปี 2568 จาก 2.9% เหลือ 1.8% และ คาดว่าปี 2569 จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เหลือ 1.6%
เช่นเดียวกับ ธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดการคาดการณ์ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เหลือเพียง 1.6% หรือ ลดลงมากถึง 1.3 % ในรายงานฉบับเดือนเมษายน 2568 จากเดิมที่เพิ่งจะปรับขึ้น คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปอยู่ที่ 2.9% ในรายงานฉบับเดือนมกราคม 2568
ส่วนในปีหน้า 2569 ธนาคารโลก ปรับลด คาดการณ์ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ลงมาเหลือ 1.8% ลดลง 0.9% จากเดิมที่ 2.7% ในคาดการณ์เดือนมกราคม 2568
เศรษฐกิจไทย จะไปต่อ หรือ พอแค่นี้ !
การรายงาน ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ของ ประเทศไทย โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ (Moody’s) ถึงแม้ จะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1
แต่การปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook สะท้อนให้เห็น มุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งนี้ กับ ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถึงแม้ การปรับมุมมองดังกล่าว จะมาจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก (External Risks) โดยเฉพาะความไม่แน่นอน(Uncertainty) ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับโลก (Global) และ ภูมิภาค (Regional) รวมถึงส่งผลกระทบทางอ้อมมายังเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ารวมถึงประเทศไทย ก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง ต่อการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่คาดไม่ถึง และ ไม่มีความชัดเจนในการกำหนดนโยบาย และ แนวทางในการรับมือ กับปัจจัยเสี่ยงที่มากระทบ
ทั้งนี้ Moody’s มีความเห็นเกี่ยวกับฐานะการเงินต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจไทย ภาคการคลัง
และความท้าทายเชิงโครงสร้างของประเทศไทย โดยระบุว่า ถึงแม้ประเทศไทยยังมี ฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง มีทุนสำรองสูง ต่อเนื่อง (ณ เดือนมีนาคม 2568 มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 215,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
มี เสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability): โครงสร้างสถาบันและธรรมาภิบาลของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศที่มีความพร้อม สามารถรองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมีหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท และมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ค่อนข้างยาว ซึ่งถือเป็นโครงสร้างหนี้ที่เอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้ ในระยะยาวก็ตา
แต่ Moody’s ได้ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยจัดว่า เป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตช้า กว่าประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน (Peers) นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)
และเศรษฐกิจไทยยังคงมีความอ่อนไหวต่อการรองรับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Economic Shock) อาทิ การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนในระดับสูง
ในขณะเดียวกันภาคการคลัง (Fiscal Position) ของไทย แม้รัฐบาลไทยจะดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การประกาศใช้ภาษีศุลกากรและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลก บั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และกระทบโดยตรงต่อประเทศเศรษฐกิจเปิดอย่างไทย สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้กระบวนการเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ของไทยล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework: MTFF) ที่ได้จัดทำไว้ก่อนหน้า
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญกับ ความท้าทายเชิงโครงสร้าง (Structural Challenges): ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเติบโตของผลิตภาพการผลิต (Productivity Growth) ที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สบน. มั่นใจ เศรษฐกิจไทย ยังไปต่อ
จากความเห็นดังกล่าว สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังดำเนินการเจรจา และ หาแนวทาง เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งหาตลาดใหม่มาทดแทน
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้วางแผนการปฏิรูป โครงสร้างภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ของภาครัฐ ลดภาระทางการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว รวมถึงเพิ่มพื้นที่ทางการคลังในการรองรับเหตุการณ์ผันผวนในอนาคตได้อย่างเพียงพอ
พร้อมกันนี้ รัฐบาล ยังให้กาสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) โดยตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด้านคมนาคม สาธารณูปโภค
และพลังงานที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)
ด้านการท่องเที่ยว ปัจจุบัน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 เหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบระยะสั้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
โดย สบน. ในนาม กระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีแผนการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐ
และแผนเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ระยะปานกลาง กำลังถูกเร่งดำเนินการ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานความแข็งแกร่งทั้งจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ภาคการส่งออก
ที่หลากหลาย และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การปรับมุมมอง Outlook ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคหรือเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
เนื่องจากประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ สบน. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและฐานะทางเครดิตของประเทศให้มีความมั่นคงในระยะยาวต่อไป
หอการค้าไทย ชี้ “Moody’s ปรับลดแนวโน้มเครดิตไทย”
สัญญาณเตือนที่ต้องรับมืออย่างจริงจัง
ในขณะที่ หอการค้าไทย แสดงความห่วงกังวลต่อ กรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือMoody’s Investors Service ได้ประกาศปรับลดแนวโน้ม (Outlook) อันดับเครดิตของประเทศไทยจากระดับ Stable เป็น “Negative”
ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นการปรับลดอันดับเครดิตโดยตรง แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าตลาดโลกเริ่มมีข้อกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของไทยในระยะข้างหน้า
หอการค้าไทย เห็นว่า การปรับลดแนวโน้มดังกล่าว ย่อมส่งผลต่อ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระดับสากล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทย อยู่ระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และ กำลังเร่งดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
การถูกตั้งข้อสังเกตจากสถาบันจัดอันดับชั้นนำอาจกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมของประเทศในอนาคต
Moody’s ระบุเหตุผลหลักมาจากความไม่ชัดเจนด้าน วินัยการคลัง, แผนการบริหารหนี้สาธารณะ, และศักยภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
ซึ่งสอดคล้องกับ มุมมองของภาคเอกชน ที่เห็นว่ารัฐบาล จำเป็นต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น ด้วยการแสดงให้เห็นถึง แผนการบริหารจัดการด้านการคลังที่เป็นรูปธรรม โปร่งใส และ สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยภายนอกยังเพิ่มความเปราะบางให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ ท่าทีของสหรัฐอเมริกาในการพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า
ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกย่อมได้รับผลกระทบ หากนโยบายเหล่านั้นถูกนำมาใช้จริงในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ การเตรียมพร้อมและการกระจายความเสี่ยงจากตลาดดั้งเดิมจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
แม้สถานการณ์ในบางด้านจะมีความเปราะบาง แต่ หอการค้าไทยยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนจากภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว และอุตสาหกรรมศักยภาพใหม่ ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเกษตรแปรรูป อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะเดินหน้าได้อย่างมั่นคงก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่นจากต่างประเทศรองรับอยู่
ในด้านการค้าโลก หอการค้าฯ เห็นว่าหากโลกเข้าสู่ยุคของมาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ ภายใต้ทฤษฎีกาลักน้ำ ประเทศไทยต้องเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ ในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น อินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง เพื่อชดเชยตลาดหลักที่เริ่มมีความผันผวน
จากมุมมองดังกล่าว อาจสรุปได้ว่า ถึงเวลาที่ รัฐบาลต้องทบทวน ทิศทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น และ ในขณะเดียวกัน ต้องมีการดำเนินนโยบายเชิงรุก ที่จะเป็นเข็มทิศ ให้ประเทศไทย ก้าวข้าม จาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่ “รายได้สูง” ให้ได้
การจะไปสู่ทิศทางดังกล่าวได้ ต้องมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ก้าวข้ามความขัดแย้ง และ การกำหนดนโยบาย แบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” กันซะที
ที่มาของข้อมูล : https://www.moodys.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/trump-thai-impact-04042025/
