
ภาคธุรกิจ มั่นใจ AI ขับเคลื่อน เศรษฐกิจยั่งยืน แต่ กังวลการใช้พลังงานมาก จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำเทคโนโลยี มาใช้อย่างแพร่หลาย
อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้าน เทคโนโลยีดิจิทัล และ หน่วยงานหลักด้าน อินเทลลิเจนซ์ ของ อาลีบาบา กรุ๊ป เผยรายงาน “แนวโน้ม และ ดัชนีความยั่งยืน ที่ขับเคลื่อนด้วย เทคโนโลยีประจำปี 2024” (Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024) โดยการสำรวจดังกล่าว รวบรวมความคิดเห็น จากผู้นำธุรกิจ และ ผู้บริหารระดับสูง 1,300 คน ที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีและการสื่อสาร การเงิน โครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรหมุนเวียน การดูแลสุขภาพ การขนส่ง ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยทำการสำรวจจากวันที่ 10 พฤษภาคม ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2567
โดย ผู้ตอบแบบสำรวจ มาจากตลาด 13 แห่งในเอเชีย ยุโรป และ ตะวันออกกลาง ในเอเชีย ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ในยุโรปประกอบด้วย ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร และในตะวันออกกลางประกอบด้วย ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คำว่าตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียหมายถึง เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ส่วนคำว่าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในที่นี้หมายถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
ผลการสำรวจ พบว่า ธุรกิจมากกว่า สามในสี่ (76%) ในเอเชีย ยุโรป และ ตะวันออกกลางตระหนักว่า เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ คลาวด์คอมพิวติ้ง มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม 61% ของ ผู้ตอบแบบสอบถาม ยังคงกังวลว่า การที่เทคโนโลยี เหล่านี้ ใช้พลังงานมาก จะเป็นอุปสรรค สำคัญต่อ การนำเทคโนโลยี เหล่านี้ไปใช้ อย่างแพร่หลาย
การให้ความสำคัญกับ การนำศักยภาพของ AI คลาวด์คอมพิวติ้ง และ เทคโนโลยีดิจิทัล ขั้นสูงอื่น ๆ เพื่อสนับสนุน การพัฒนาที่ยั่งยืน ในภูมิภาคต่าง ๆ นั้นแตกต่างกัน
ผลสำรวจ พบว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เป็นผู้นำในเรื่องนี้ (83%) ตามติดด้วย ตลาดตะวันออกกลาง (78%) ยุโรป (74%) และ ตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย (72%)
หากลงรายละเอียด ระดับประเทศ ตลาดที่ให้ความสนใจ และ ให้ความสำคัญด้านนี้มากที่สุด คือ ฟิลิปปินส์ (91%) สิงคโปร์ (84%) อินโดนีเซีย (81%) และไทย (81%)
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจ โดยเฉลี่ย 80% ได้กำหนดเป้าหมาย ด้านความยั่งยืนไว้แล้ว โดย ประเทศไทย สูงกว่าผลเฉลี่ยเล็กน้อย อยู่ที่ 82%

ภาคธุรกิจ มั่นใจ AI ขับเคลื่อน เศรษฐกิจยั่งยืน
แม้การนำ เทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้จะเป็นไปใน เชิงบวก แต่ธุรกิจ 59% ยังไม่เข้าใจ อย่างถ่องแท้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ด้านความยั่งยืนได้อย่างไร
โดยตลาดเอเชีย มีช่องว่างด้านนี้ มากที่สุด ที่ 63% ตามด้วยยุโรป 61% และ ตะวันออกกลาง 45% ในเอเชียประเทศไทย อยู่ในลำดับที่สาม (70%) รองจากสิงคโปร์ (83%) และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง (75%)
นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสำรวจ ประมาณสองในสาม (62%) เชื่อว่า องค์กรของตน ยังล้าหลัง ในการนำคลาวด์คอมพิวติ้ง และ AI มาปรับใช้ เพื่อเร่งให้บรรลุเป้าหมาย ด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น
ข้อกังวลนี้ มีเปอร์เซ็นที่สูง ในประเทศสิงคโปร์ (80%) ฟิลิปปินส์ (77%) ญี่ปุ่น (75%) และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง (75%) ซึ่งบ่งชี้ ถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่องค์กรต่างต้องเร่ง นำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาความยั่งยืน
โดยภาพรวม ธุรกิจ 82% เห็นตรงกันว่า การพัฒนาเทคโนโลยี ที่ยั่งยืน เป็นสิ่งสำคัญต่อ บริษัทของตน โดยสิงคโปร์ (93%) ฟิลิปปินส์ (91%) และอินโดนีเซีย (89%) เป็นสามประเทศ ที่มีสัดส่วนสูง
คุณประโยชน์หลากหลาย ของการใช้ เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อความยั่งยืน ที่องค์กร ที่ตอบแบบสำรวจ ตระหนักมากที่สุด เช่น ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และ สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้ดีขึ้น สำหรับประเทศไทย ผู้ตอบแบบสอบถาม 80% เห็นด้วยกับเรื่องนี้
52% ของธุรกิจใน ตะวันออกกลาง มองว่า AI และ ML (แมชชีนเลิร์นนิ่ง) เป็นเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สำคัญที่สุดสำหรับ การพัฒนาความยั่งยืน ขององค์กร
ในขณะที่ยุโรป ให้ความสำคัญ เรื่องนี้รองลงมาที่ 41% ตลาดเกิดใหม่ ในเอเชีย 40% และ ตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย 36%
ผู้ตอบแบบสำรวจในไทย ระบุว่าทั้ง AI/ML และ คลาวด์คอมพิวติ้ง เป็นเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สำคัญที่สุด (34%)
ในขณะเดียวกัน 81% ของธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจ รู้สึกว่า ยังจำเป็น ต้องใช้คนควบคุม และ ชี้แนะการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและเครื่องมือด้าน AI ต่าง ๆ โดย ตลาดตะวันออกกลาง (91%) มีแนวคิดด้านนี้สูงสุด ตามด้วยตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (83%) ยุโรป (82%) และ ตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย (74%)
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจ 61% กังวลว่า การที่เทคโนโลยีดิจิทัล ใช้พลังงาน ปริมาณมาก จะเป็นอุปสรรคต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง โดยสิงคโปร์ มีความกังวลสูงสุด ที่ 85% ฟิลิปปินส์ 77% เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 75% และ ไทย 65%
นอกจากนี้ ธุรกิจ 71% ยังเชื่อว่า การใช้พลังงานปริมาณมาก ของเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI จะไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะได้รับ โดย 3 ตลาดที่กังวลเรื่องนี้สูงสุด คือ สิงคโปร์ 86% ฟิลิปปินส์ 84% และ มาเลเซีย 81%
รายงานฉบับนี้ยังเน้นให้เห็น ความสำคัญของการเลือกผู้ให้บริการ ทางเทคโนโลยี ที่ให้ความสำคัญ กับ ความยั่งยืน ในมุมของการเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
ธุรกิจประมาณครึ่งหนึ่ง ให้ความสำคัญ กับ ผู้ให้บริการคลาวด์ ที่ใช้พลังงานทดแทน (51%) ตามด้วย ผู้ให้บริการที่คงไว้ ซึ่งการดำเนินงาน ของดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ประหยัดพลังงาน (46%) และ ใช้แนวทางหรือ มีโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (42%)
ผู้ตอบแบบสำรวจในไทย ให้ความสำคัญ กับการเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ แตกต่างเล็กน้อย โดยจัดให้ ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ประหยัดพลังงาน อยู่ในลำดับสูงสุด (51%) ตามด้วย ผู้ให้บริการที่มีความมุ่งมั่น ในอนาคตเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่เป็น นวัตกรรม หรือ มีความยั่งยืน (41%) และ ผู้ให้บริการที่ใช้พลังงานทดแทนในการดำเนินงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ (38%)
เน้น AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมโอเพ่นซอร์ส
เซลิน่า หยวน ประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า การตอบแบบสำรวจ ของผู้มีอำนาจตัดสินใจจาก 13 ตลาด ทำให้ รายงานการสำรวจนี้ ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทัศนคติ และความท้าทายในการใช้ AI และ คลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อความยั่งยืนที่ธุรกิจเผชิญในปัจจุบัน
อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นสนับสนุน การเดินบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน ของธุรกิจต่าง ๆ ด้วย โซลูชันที่ปรับขนาดการทำงานได้ และ ยั่งยืน
AI จะกลายเป็น เครื่องมือทรงพลัง ที่จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงานให้เหมาะสม ด้วยคำมั่นของเราที่จะใช้ พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2573
และเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงานใน ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกของเรา รวมถึง การเพิ่มขีดความสามารถ ให้กับ Generative AI เช่น ประสิทธิภาพของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM)
การดำเนินงาน ด้านคลาวด์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ อาลีบาบา คลาวด์ ประสบความสำเร็จ อย่างสูง
ข้อมูล ณ วันสิ้นสุดปีงบประมาณของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 เผยให้เห็นว่า การใช้พลังงานเฉลี่ย (PUE) ของ ดาต้าเซ็นเตอร์ที่บริษัทฯ สร้างเอง มีประสิทธิภาพดีขึ้นเป็น 1.200จาก 1.215 ในปีงบประมาณก่อนหน้า โดย 56% ของการใช้ไฟฟ้า มาจากแหล่งพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐาน การประมวลผล ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ อาลีบาบา ยังช่วยให้ ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 9.884 ล้านตัน ซึ่งลดได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หยวน กล่าว
ที่มาของข้อมูล : https://www.alibabacloud.com/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://bangkokx.me/kols-influencer-28022025/
